การเลือกสายไฟเพื่อใช้ในงานต่างๆ จะต้องพิจารณาหลายปัจจัย เช่น ประสิทธิภาพการส่งไฟฟ้า ความปลอดภัยในการใช้งาน ความต้องการของระบบไฟฟ้า และอื่นๆ ดังนั้นเมื่อเลือกสายไฟจึงควรพิจารณาดังนี้
- ประสิทธิภาพการส่งไฟฟ้า (Electrical conductivity)
คือความสามารถของสายไฟในการส่งกระแสไฟฟ้า สายไฟที่มีประสิทธิภาพสูงจะช่วยลดการสูญเสียพลังงานและเงินทุนในการใช้งานได้มากขึ้น - ขนาดของสายไฟ (Wire size)
ขนาดของสายไฟจะต้องเลือกให้เหมาะสมกับการใช้งาน เพราะการใช้สายไฟที่ขนาดไม่เหมาะสมอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ ดังนั้นควรตรวจสอบค่าความต้านทานและความไหลได้ของสายไฟเพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งาน - ความต้านทาน (Resistance)
ความต้านทานของสายไฟจะส่งผลต่อประสิทธิภาพการส่งไฟฟ้า การเลือกสายไฟที่มีความต้านทานต่ำจะช่วยลดการสูญเสียพลังงานและเงินทุนในการใช้งานได้มากขึ้น - ความต้านทานต่อหน่วยความยาวของสายไฟ (Resistance per unit length)
ค่าความต้านทานต่อหน่วยความยาวของสายไฟจะช่วยในการประเมินประสิทธิภาพ - วัสดุที่ใช้ทำ (Material)
วัสดุที่ใช้ทำสายไฟจะมีผลต่อการส่งไฟฟ้า สายไฟที่ทำจากทองแดง (copper) จะมีความสามารถในการส่งไฟฟ้าที่ดีกว่าสายไฟที่ทำจากอลูมิเนียม (aluminum) แต่สายไฟที่ทำจากอลูมิเนียมจะมีราคาถูกกว่าสายไฟที่ทำจากทองแดง - ประเภทของสายไฟ (Type of wire)
การเลือกสายไฟจะต้องพิจารณาประเภทของสายไฟว่าเหมาะสมกับการใช้งานหรือไม่ เช่น สายไฟไฟฟ้าสามารถใช้งานได้กับระบบไฟฟ้าแรงดันต่ำ แต่ไม่เหมาะกับระบบไฟฟ้าแรงดันสูง - การติดตั้ง (Installation)
การติดตั้งสายไฟจะต้องคำนึงถึงสภาพแวดล้อมและสภาพอากาศ เช่น การติดตั้งในบริเวณที่มีการไหลน้ำ การติดตั้งในที่โดนแดดจัด ฯลฯ ซึ่งทำให้เกิดความเสียหายกับสายไฟได้ - ความปลอดภัย (Safety)
สายไฟที่มีความปลอดภัยสูงจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุระหว่างการใช้งานได้ ดังนั้นควรเลือกสายไฟที่ได้รับมาตรฐานความปลอด - การเชื่อมต่อ (Connectivity)
การเชื่อมต่อสายไฟกับอุปกรณ์ต่างๆจะต้องคำนึงถึงขนาดและประเภทของชนิดของปลั๊ก (plug) และพอร์ท (port) เพื่อให้เชื่อมต่อได้อย่างถูกต้องและปลอดภัย - ราคา (Price)
ราคาเป็นปัจจัยสำคัญในการเลือกสายไฟ เนื่องจากสายไฟที่มีคุณภาพดีมักจะมีราคาสูงกว่าสายไฟที่มีคุณภาพต่ำ ดังนั้นควรพิจารณาความต้องการและงบประมานของโปรเจคนั้นๆ